แม็กซ์ ซิวแชมป์ อาบูดาบี เลอแกลร์ รับตำแหน่งรอง

แม็กซ์ ซิวแชมป์ อาบูดาบี เลอแกลร์ รับตำแหน่งรอง
“แม็กซ์” ซิวแชมป์ “อาบูดาบี กรังด์ปรีซ์” จบฤดูกาลอย่างสวยงาม “เลอแกลร์ ประคองรถคว้ารองแชมป์หลังโดนไล่บี้หนัก “เชโก้” และ “เร้ดบูลล์ เรซิ่ง” พลาดหวังเพอร์เฟ็คต์ซีซั่นอันดับ 1-2




แม็กซ์ เวอร์สเตปเปน คว้าแชมป์ อาบูดาบี กรังด์ปรีซ์ เมื่อ 20 พ.ย. ที่ผ่านมา ขึ้นนำแบบม้วนเดียวจบตั้งแต่ออกสตาร์ทในตำแหน่งโพล โพสิชั่น และอันดับ 2 ในตารางคะแนนสะสมเป็นของ ชาร์ลส์ เลอแกลร์ ที่ตามเข้ามาด้วยความอดทน ทำให้ เซอร์จิโอ เปเรซ พลาดหวัง คว้าอันดับ 3 เท่านั้น 


ออกสตาร์ทที่ ยาส มารีน่า เซอร์กิต กลุ่มผู้นำใช้ยางมีเดียม ลูอิส แฮมิลตัน ขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 4 แซงหน้า คาร์ลอส ไซนซ์ แม้พารถออกข้างแทร็คแต่เป็นการโดนเบียดจาก ไซนซ์ ทำให้ไม่ต้องคืนตำแหน่ง แต่ เฟอร์รารี่ ประท้วงว่าเป็นการกระทำที่ไม่ซื่อตรงของรถหมายเลข 44 ทำให้ แฮมิลตัน ต้องคืนตำแหน่ง 


อย่างไรก็ดี ในรอบที่ 6 แฮมิลตัน สามารถแซงกลับขึ้นไปในอันดับ 4 ได้โดยไร้ปัญหาในครั้งนี้ และข้างหลัง จอร์จ รัสเซลล์ ที่โดน ลันโด นอร์ริส ขยับแซงตอนออกตัวก็กลับมาอยู่ในอันดับ 6 อีกครั้ง แต่เมื่อผ่านไป 10 รอบ แฮมิลตัน โดนแซงจาก ไซนซ์ และ รัสเซลล์ ขณะนั้นทีม เมอร์ซิเดส คาดว่าอาจมีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับแบตเตอรี่ในรถของ แฮมิลตัน ทำให้ความเร็วลดลง 


รอบที่ 16 เซอร์จิโอ เปเรซ เข้าพิตเปลี่ยนยาง และกลับออกมาชิงตำแหน่งกับ เซบาสเตียน เว็ทเทล ก่อนขึ้นแซงได้สำเร็จ และ ไซนซ์ เข้าพิตในรอบถัดมา ตามด้วย แฮมิลตัน ทำให้ตำแหน่งที่เสียไปได้คืนมา และ เปเรซ ขยับเข้ามาตามหลัง เลอแกลร์ ในอันดับ 2 ซึ่งยังไม่ได้เข้าพิต และเมื่อเข้าพิต นักขับจากโมนาโกก็ออกมาตามหลัง เปเรซ แต่นำหน้าเพื่อนร่วมทีม เฟอร์รารี่


ผ่านครึ่งทาง 29 รอบ ลำดับหัวแถวกลับมาเหมือนตอนออกสตาร์ท 2 คันจาก เร้ดบูลล์ เรซิ่ง นำหน้าคู่ของ เฟอร์รารี่ และ เมอร์ซิเดส แต่เป็น รัสเซลล์ อันดับ 5 แฮมิลตัน อันดับ 6 ที่มี นอร์ริส อยู่ถัดไป ขณะที่ อเล็กซ์ อัลบอน นักขับไทยไต่ขึ้นมาเรื่อยจากอันดับ 19 สู่อันดับ 11 


เปเรซ เข้าพิตอีกครั้งในรอบที่ 34 กลับออกมาเป็นอันดับ 6 ตอนนั้นเอง เฟร์นานโด อลอนโซ่ ก็ต้องออกจากการแข่งขันเมื่อพารถเข้าพิตแล้วพบว่ามีปัญหา จบสนามสุดท้ายกับ อัลพีน ด้วยการไม่มีคะแนน 


ไม่กี่นาทีต่อมา วิทยุของ เลอแกลร์ และทีมงานสื่อสารกันว่าอาจต้องใช้แผนซี ด้วยการขับรักษาตำแหน่งและรักษายางโดยไม่กลับเข้าพิตไปจนกว่าจะจบการแข่งขัน ซึ่งตัวนักขับตอบรับว่าสามารถทำได้ จากนั้น คริสเตียน ฮอร์เนอร์ หัวหน้าทีมแจ้งเวลากับ เวอร์สเตปเปน ว่านำหน้า เลอแกลร์อยู่ประมาณ 0.4 วินาที และขอให้พยายามรักษาระยะห่าง


รอบที่ 39 มิค ชูมัคเกอร์ และ นิโคลัส ลาติฟี ชนกันที่ Sector 2 รถของ วิลเลี่ยมส์ อัดกับป้ายโฆษณาจนเกิดธงเหลือง แม้กลับมาแข่งต่อได้ แต่ก็อยู่ท้ายแถว จากนั้น ไซนซ์ และ รัสเซลล์ เข้าพิตต์ เปเรซ จ่อท้ายแฮมิลตัน พยายามแซงหน้าและประสบความสำเร็จในรอบที่ 46 


เข้าสู่ 7 รอบสุดท้าย ทีมงาน เฟอร์รารี่ พยายามสื่อสารกับ เลอแกลร์ ว่าขอให้อดทน เมื่อโดน เปเรซ ไล่หลังมา จากนั้นเมื่อเหลือ 3 รอบ ทีมงาน เมอร์ซิเดส แจ้งกับ แฮมิลตัน ว่าน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับระบบไฮดรอลิค ทำให้ไม่มีพลังเร่งเครื่องและโดน ไซนซ์ แซงขึ้นไป เมื่อถึงจุดเข้าพิตก็โดนเข็นรถเข้าไป ต้องออกจากการแข่งขัน ทำให้หมดหวังที่ เมอร์ซิเดส จะได้อันดับ 2 ในประเภททีม และต้องยอมให้ เฟอร์รารี่ คว้าตำแหน่งไป 


เหลืออีกประมาณ 1 รอบกับอีกครึ่ง เปเรซ ไล่จี้ เลอแกลร์ เข้ามา ด้วยยางที่ใหม่กว่า และความกดดันทำให้ เลอแกลร์ พารถส่ายเล็กน้อย แต่นักขับเม็กซิกันก็ไม่สามารถแซงหน้าได้ แม้เข้ามาในอันดับ 3 ได้ขึ้นโพเดียม แต่คะแนนสะสมที่เท่ากันมาก่อนทำให้ เร้ดบูลล์ เรซิ่ง พลาดหวังในการจบซีซั่นแบบ 1-2


เว็ทเทล จบสนามสุดท้ายของฤดูกาลและอาชีพนักขับในอันดับ 10 มีแต้มและได้รับเสียงโห่ร้องปรบมือเมื่อเข้าเส้นชัย ขณะที่ อเล็กซ์ อัลบอน นักขับไทยเป็นอันดับ 13 ไม่มีคะแนนเพิ่มในสนามนี้ 


F1DRIVE

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :

Website : www.truevisions.co.th

Facebook : Truevisions

Twitter : @TrueVisions

Line : @Truevisions

Youtube official : Truevisionsofficial

Instagram : Truevisionsofficial